วันหยุดยาวใกล้เข้ามา แพลนเที่ยวพร้อม! แต่ก่อนที่คุณจะสตาร์ทรถมุ่งหน้าสู่จุดหมาย, คุณได้เตรียม "เพื่อนร่วมทาง" ที่สำคัญที่สุดอย่างรถยนต์ของคุณให้พร้อมแล้วหรือยัง? การเสียเวลานิดหน่อยเพื่อตรวจเช็กสภาพรถเบื้องต้น คือการลงทุนที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้ทริปสนุกๆ ต้องสะดุดกลางทาง
Sawaddee.com ได้รวบรวม Checklist ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งจุดที่ คุณสามารถตรวจเช็กเองได้ง่ายๆ และจุดที่ ควรให้ช่างผู้ชำนาญช่วยดู เพื่อให้คุณเดินทางได้อย่างสบายใจไร้กังวล
1. ลมยางและสภาพยาง (Tires: Pressure & Condition) 🚗
ยางคือส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับถนน จึงสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
- วิธีเช็ก:
- เช็กลมยาง: เติมลมยางให้ได้ตามค่ามาตรฐานที่ระบุไว้ที่สติกเกอร์ข้างประตูฝั่งคนขับ (ควรเช็กตอนที่ยางยังไม่ร้อน)
- เช็กดอกยาง: ใช้เหรียญบาทเสียบเข้าไปในร่องยาง ถ้ามองเห็นขอบสีทองของเหรียญ แสดงว่าดอกยางเริ่มตื้น ควรพิจารณาเปลี่ยนยางใหม่
- เช็กสภาพโดยรวม: มองหารอยแตกลายงา, รอยบาด, หรืออาการบวมที่แก้มยาง
-เช็กแรงดันลมยาง เติมลมยางให้เหมาะสม
แรงดันลมยางเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัย ทั้งในเรื่องการเกาะถนน การเบรก สมรรถภาพการขับขี่ รวมถึงส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันด้วย ดังนั้นก่อนขับรถทางไกลแนะนำให้เติมลมยางให้เหมาะสมกับรถยนต์แต่ละประเภท -รถยนต์ขนาดเล็ก 30 – 32 PSI -รถยนต์ขนาดกลาง 32 – 34 PSI -รถยนต์ SUV ขนาดกลาง 32 – 35 PSI -รถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ ( 7 – 10 ที่นั่ง) 32 – 36 PSI -รถกระบะ ไม่บรรทุก 32 – 35 PSI -รถกระบะบรรทุก 34 – 40 PSI
-ตรวจสภาพความลึกของดอกยาง
นอกจากเรื่องลมยางแล้ว ความลึกของดอกยางก็สำคัญต่อการขับขี่อย่างปลอดภัยเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกหนัก หากดอกยางเหลือน้อยมาก ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
- ความลึก 6 – 8 มม. ถือเป็นความลึกของดอกยางที่ปลอดภัยที่สุด
- ความลึก 4 – 5 มม. ถือว่าเป็นความลึกในระดับที่ยังปลอดภัย
- ความลึกน้อยกว่า 3 มม. เป็นระดับที่ควรต้องเปลี่ยนยางใหม่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
2. ระบบของเหลว (Fluids) 💧
ของเหลวต่างๆ คือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงให้รถทำงานได้ปกติ ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องรถยนต์ให้เหมาะสม เพื่อลดการสึกหรอ และลดความร้อนสะสมของเครื่องยนต์ นอกจากระดับน้ำมันเครื่องแล้ว อย่าลืมเช็กสภาพสีของน้ำมันเครื่อง หากมีสีเข้ม มีกลิ่นเหม็นไหม้ แนะนำให้ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องยนต์ระหว่างการเดินทาง นอกเหนือจากน้ำมันเครื่องแล้ว ของเหลวที่ต้องเช็กอีกอย่างก็คือ น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ ควรให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยระบายความร้อนหรือหล่อให้กับเครื่องยนต์และควบคุมเครื่องยนต์ไม่ให้มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ จนทำให้รถยนต์เสียระหว่างเดินทาง
- วิธีเช็ก:
- น้ำมันเครื่อง (Engine Oil): ดึงก้านวัดออกมาเช็ด แล้วจุ่มกลับเข้าไปใหม่ ระดับน้ำมันเครื่องควรอยู่ระหว่างขีด F และ L (Full/Low) และสีต้องไม่ดำจนเกินไป
- น้ำหล่อเย็น (Coolant): ตรวจดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำ ควรอยู่ระหว่างขีด Min และ Max (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องร้อนเด็ดขาด!)
- น้ำมันเบรก (Brake Fluid): ระดับควรอยู่ใกล้ขีด Max และสีต้องใส หากเป็นสีเข้มควรให้ช่างตรวจสอบ
- น้ำฉีดกระจก (Washer Fluid): ควรเติมให้เต็มอยู่เสมอ
3. แบตเตอรี่ (Battery) 🔋
แบตเตอรี่ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญกับรถยนต์ หากเกิดควายเสียหาย หรือเสื่อมสภาพอาจทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติด ระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ในรถยนต์ทำงานไม่ราบลื่น ดังนั้นก่อนเดินทางไกล ควรตรวจเช็กแรงดันแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมสภาพ ควรมีค่าแรงดันไฟฟ้า (Volt) มากกว่า 12 V ขึ้นไป และเช็ดทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่เพื่อให้จ่ายไฟได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
- วิธีเช็ก:
- ดูขั้วแบตเตอรี่: มีคราบขี้เกลือสีขาวหรือสีฟ้าเกาะอยู่หรือไม่? ถ้ามีควรทำความสะอาด
- อายุการใช้งาน: แบตเตอรี่มีอายุเฉลี่ย 1.5 - 2 ปี หากแบตเตอรี่ของคุณใกล้หมดอายุ ควรเปลี่ยนก่อนเดินทางไกล
4. ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณ (Lights & Signals) 💡
เปิดไฟทุกดวงแล้วเดินดูรอบรถ หรือให้คนช่วยดู
- Checklist ไฟ: ไฟหน้า (สูง-ต่ำ), ไฟเลี้ยว (ซ้าย-ขวา, หน้า-หลัง), ไฟหรี่, ไฟเบรก, ไฟถอยหลัง, และไฟฉุกเฉิน
การขับรถยนต์บนถนนนาน ๆ ระบบไฟส่องสว่างรอบตัวรถ ไม่ว่าจะไฟหน้า ไฟเบรก ไฟให้สัญญาณ ไฟฉุกเฉิน หรือแม้กระทั่งไฟตัดหมอกก็ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนออกเดินทางว่าสามารถเปิดติด ทำงานได้สมบูรณ์ครบทุกดวง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุโดยเฉพาะหากต้องขับรถในตอนกลางคืนที่ทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำ
5. ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก (Wipers & Washer)
- วิธีเช็ก: ลองฉีดน้ำและเปิดที่ปัดน้ำฝน ใบปัดต้องรีดน้ำได้สะอาด ไม่มีเสียงดัง และเนื้อยางไม่แข็งกระด้างหรือขาด
ก่อนเดินทางควรตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนทุกจุดบนรถว่าเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง ซึ่งปกติแล้วยางปัดน้ำฝนจะมีอายุการใช้งานสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1 ปี วิธีตรวจสอบเบื้องต้นเพียงใช้เล็บจิกลงไป หากเนื้อยางมีความแข็ง และไม่คืนรูปก็ถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว
6. ระบบแอร์ (Air Conditioning)
- วิธีเช็ก: เปิดแอร์และพัดลมทุกระดับ ตรวจดูว่าความเย็นเป็นปกติและไม่มีกลิ่นอับชื้น
3 จุดสำคัญที่ควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
หากไม่มั่นใจหรือต้องการความชัวร์ 100% ควรนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ที่ไว้ใจได้เพื่อเช็กในส่วนที่ซับซ้อนขึ้น
- 8. ช่วงล่างและโช้คอัพ (Suspension): เพื่อตรวจหารอยรั่วซึมและประสิทธิภาพการซับแรงกระแทก
- 9. การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ (Wheel Alignment): หากรถมีอาการพวงมาลัยสั่นหรือกินซ้าย/ขวา
- 10. สภาพสายพานต่างๆ (Engine Belts): เช่น สายพานไทม์มิ่ง, สายพานหน้าเครื่อง
Bonus: จัดเตรียม "ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน" ประจำรถ
[Icon box with a first aid cross and tools] เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ของเหล่านี้ควรมีติดรถไว้เสมอ:
- ✅ สายพ่วงแบตเตอรี่
- ✅ แม่แรงและประแจถอดล้อ
- ✅ ยางอะไหล่ (เช็กลมยางด้วย!)
- ✅ ไฟฉาย
- ✅ ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ✅ ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง
- ✅ เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน เช่น บริษัทประกัน, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน
เดินทางอุ่นใจ... อย่าลืมเช็คประกันรถยนต์ของคุณ
การเตรียมรถให้พร้อมเป็นเรื่องสำคัญ แต่การมี "เกราะป้องกัน" ที่ดีก็สำคัญไม่แพ้กัน ก่อนออกเดินทาง อย่าลืม:
- เช็กวันหมดอายุ: ตรวจสอบว่าประกันรถยนต์และ พ.ร.บ. ของคุณยังไม่หมดอายุ
- เช็กความคุ้มครอง: ประกันของคุณมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance) หรือไม่?
- บันทึกเบอร์โทรฉุกเฉิน: เมมเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทประกันไว้ในมือถือให้พร้อม
ยังไม่มีประกันที่ใช่? หรือต้องการหาแผนที่คุ้มครองดีที่สุดสำหรับการเดินทาง? ที่ Sawaddee.com เราช่วยคุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์จากบริษัทชั้นนำ พร้อมค้นหาแผนที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
ประกันรถยนต์ สวัสดี เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ ซื้อง่าย เทียบไวใน 2 วิ เช็คราคาเลย เว็บไซต์สวัสดี https://sawaddee.com/motor LINE: @sawaddee.com หรือโทรหาเรา 0882226651
หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ผู้ซื้อโปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนทำประกันภัยทุกครั้ง ที่มา: เมืองไทยประกันภัย อ้างอิง: One2Car, B-Quik, Yellow Tire